สยามรัฐ

  1. “คดีชั้น14” สะเทือน “เพื่อไทย” !?

    “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ในวันที่ “แพทองธาร ชินวัตร” ถูกศาลรัฐธรรมนูญ สั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลจะวินิจฉัย “คดีคลิปเสียงฮุน เซน” ออกมา

    ด้วยเหตุนี้ภาระหน้าที่ในกรอบของ “สร.1” จึงมี ภูมิธรรม ดำเนินการและออกหน้าแทบทั้งสิ้น ทั้งเรื่องภายในประเทศ ไปจนถึงการเมือง “ระหว่างประเทศ” จากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา บานปลายไปสู่การปะทะกัน ถึง 5 วัน จากนั้นไปสู่การเจรจาหยุดยิงทันทีของกองทัพทั้งสองฝ่าย แต่ปรากฏว่า “กัมพูชา” กลับเป็นฝ่ายละเมิด ข้อตกลง ทำให้วันนี้ สถานการณ์ชายแดน ยังไม่อยู่ในจุดที่ “วางใจได้”

    เมื่อภูมิธรรม ต้องออกมารับบทหนัก เล่นในทุกตำแหน่ง ในท่ามกลางทั้งที่ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯและ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ต่างติดล็อกด้วยคดีความด้วยกันทั้งคู่ บวกกับการที่ประชาชนไม่ไว้วางใจ ตั้งแต่เมื่อครั้งคลิปเสียงการสนทนา กับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา  จนมาถึงวันเจรจาหยุดยิง

    ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ ยังไม่จบ ปรากฏว่าปัญหาคดีชั้น 14 ที่ทักษิณ เป็นจำเลย “ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง” นัดฟังคำวินิจฉัย ในวันที่ 9 ก.ย.นี้ กำลังถูกมองว่า จะกระทบต่อ “พรรคเพื่อไทย” และ “รัฐบาล” ไปจนถึงนายกฯแพทองธาร จนจะกลายเป็น “โดมิโน” ที่ล้มตามกันไปหรือไม่

    แม้ล่าสุดภูมิธรรม ออกมายืนยันกับสื่อว่า “ไม่เสียขวัญ” ทั้งพรรคเพื่อไทย และรัฐบาลจากกรณีคดีชั้น 14  เนื่องจากคดีนี้ ถูกจับตามาโดยตลอดว่าหากศาลพิพากษาว่า กระบวนการส่งตัว ทักษิณ ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำ  นั้นไม่ถูกต้องจริง จะนำไปสู่การส่งตัวทักษิณ กลับไปรับโทษในเรือนจำต่อไปหรือไม่

    “เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม อย่างที่พูดเราเคารพกระบวนการยุติธรรม และแต่เรายังไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร

    ทำให้เราต้องคิดว่า ถ้าเสียหายจะสะเทือนหรือไม่ ถ้าเกิดชนะเราจะได้ไหม ผมว่าไม่มีประโยชน์ เพราะตอนนี้เรามุ่งมั่นเรื่องการปะทะกันที่บริเวณชายแดนเป็นหลัก” (31 ก.ค.68) 

    ถึงกระนั้นในความเป็นจริงแล้วทั้งพรรคเพื่อไทย และนายกฯแพทองธาร คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คดีชั้น14 หากออกมาในทางที่เป็น “โทษ” ต่อตัวทักษิณ จริงๆแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาย่อมไม่ต่างจาก “สึนามิการเมือง” และยังอาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ตามมาอีกด้วยต่างหาก!

     

  2. หวยเกษียณนวัตกรรมการออมใหม่

    นวัตกรรมหวยเกษียน ที่รัฐบาลย้ำประโยชน์ 3 เด้ง คือ ลุ้นโชครางวัลใหญ่ทุกสัปดาห์ ได้เงินออมก้อนเมื่อเกษียณ และได้ผลตอบแทนจากการลงทุน ล่าสุดผ่านความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

    โดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้สร้างกระแสความสนใจในวงกว้าง เมื่อที่ประชุมมีมติ เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หวยเกษียณ” หรือ สลาก กอช. ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้น เห็นชอบ 427 เสียง ไม่เห็นชอบเพียง 1 เสียง ก่อนส่งร่างไปยังวุฒิสภาพิจารณาภายใน 30 วัน

    โครงการนี้ถูกนำเสนอในฐานะ นวัตกรรมการออมรูปแบบใหม่ ที่ผูกความนิยมในการเสี่ยงโชคของคนไทย เข้ากับการสร้างวินัยทางการเงิน โดยใช้แนวคิด “ซื้อหวย-เงินไม่หาย-กลายเป็นเงินออม” แต่คำถามคือ นี่คือเครื่องมือแก้ปัญหาการออมอย่างแท้จริง หรือเพียงแค่เพิ่มความหวังให้ผู้คนในยุคที่กำลังดิ้นรนกับปัญหาเศรษฐกิจ?

    ประเทศไทยเผชิญปัญหาคลาสสิกคือ อัตราการออมของประชาชนต่ำ และสัดส่วนคนวัยเกษียณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) แม้ดำเนินงานมาหลายปี แต่ยังไม่สามารถจูงใจให้คนไทยออมเงินได้เพียงพอ

    แนวคิดนี้จึงไม่ใช่แค่เครื่องมือการออม แต่ยังเป็นกลยุทธ์ทางพฤติกรรม (Behavioral Economics) ที่รัฐหยิบความชอบของคนไทยมาสร้างแรงจูงใจทางการเงิน

    สำหรับกติกาในการออมเงินผ่านหวยเกษียณนั้น  กำหนดให้ผู้มีสิทธิจะต้องเป็นมีสัญชาติไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป ทุกอาชีพ ทั้งในและนอกระบบแรงงาน ราคาสลาก 50 บาท รางวัลที่ 1 จำนวน 1 ล้านบาท (5 รางวัล)ที่ 2 จำนวน 1,000 บาท (10,000 รางวัล) ประกาศผล ทุกวันศุกร์ เวลา 17.00 น.

    เมื่อถูกรางวัล โอนเงินผ่านพร้อมเพย์ทันที ไม่ถูกรางวัล เงินที่จ่ายจะสะสมเป็นเงินออมในบัญชี กอช. และคืนครบทุกบาทเมื่ออายุ 60 ปี ผู้ที่อายุเกิน 60 ปี ยังซื้อได้ แต่ต้องสะสมอย่างน้อย 5 ปี หากเสียชีวิต เงินทั้งหมดตกแก่ทายาท

    หวยเกษียณถือว่าเป็นจิตวิทยาการเงิน คนไทยนิยมเสี่ยงโชค แต่ไม่ชอบออม การใช้ “หวย” เป็นแรงจูงใจอาจเพิ่มจำนวนผู้เข้าร่วม โดยมีต้นทุนต่ำ ราคาสลากเพียง 50 บาท ทำให้เข้าถึงได้ง่าย ดึงดูดความสนใจ แถมเงินไม่หาย แม้ไม่ถูกรางวัล เงินยังถูกเก็บเป็นเงินออม

    อาจกลายเป็นโมเดลต่อยอดในการและนวัตกรรมทางการเงินอื่นๆเพื่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาประเทศ

  3. ศรพระราม (1/8/68)

    “สยามรัฐ” ยืนหยัดบนบรรณพิภพและแพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทาง ด้วยปณิธาน “นิคฺคณฺเห นิคหารหํ ปคฺคณฺเห ปคฺคหารหํ”  พึงชมคนที่ควรชม พึงข่มคนที่ควรข่ม …*…

    ขอตั้งจิตอธิษฐาน ขอพรจากพระสยามเทวาธิราชคุ้มครองประเทศไทย เจ้าหน้าที่และประชาชน ให้แคล้วคลาดปลอดภัย จากภัยคุกคามชายแดนไทย-กัมพูชา รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง ขอให้กลับคืนสู่ความสงบร่มเย็นในเร็ววัน...*...

    คนที่พาทหารกัมพูชาไปตายก็คือ “สมเด็จฮุนเซน” และคนที่สั่งฆ่าทหารไทยก็คือ “สมเด็จฮุนเซน” เราจะเชื่อถือ “สมเด็จฮุนเซน” ได้อย่างไร? ในข้อตกลงหยุดยิง ก็ต้องบอกว่า “เชื่อไม่ได้”…*…

    คนที่ไปตกลงจับมือหยุดยิงกับรัฐบาลไทยคือ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีผู้เป็นลูกแต่ “สมเด็จฮุนเซน” เป็นผู้บัญชาการรบ โจมตีโรงพยาบาลและชุมชนไทย ตามภาพที่เจ้าตัวโพสต์เอง...*...

    ไม่หยุดยิงจริง! และไทยไม่ควรไว้วางใจใคร ไม่ใช่เฉพาะกัมพูชา แม่แต่มหาอำนาจทั้งสหรัฐอเมริกาและจีน ต่างยืนอยู่บนผลประโยชน์ ใครจะให้ทรัพยากรแก่พวกเขาได้มากกว่า ก็จะมีอำนาจต่อรองที่สูงกว่า ...*...

    ฉะนั้น ถ้าใครยังหลงติดกับความได้เปรียบทาง “จุดยุทธศาสตร์”ที่พี่ใหญ่จะต้องมาคอยโอ๋ไทย ก็อาจจะเข้าใจผิดไปถนัด โดยเฉพาะในช่วงที่แนวชายแดนไทย-กัมพูชากำลังระอุยิ่งกว่าหน้าร้อนเดือนเมษา …*…

    รัฐบาลไทยกลับยังคงยืนเก้ๆ กังๆ อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้ไม่เคยยอมหลบฉากแม้ในยามวุ่นวาย เสนอทางลงให้แต่ฝ่ายไทยดันมีคนแอบกระซิบว่า “ต้องรักษาดุลอำนาจกับจีนค่ะคุณ” ...*...

    ฟังดูดี แต่เอาจริงๆ ก็เหมือนกำลังเล่นบทนางเอกที่ยังไม่เลือกพระเอกจนคนดูเริ่มเบื่อ บอกเลยว่าอเมริกา โดยเฉพาะตาทรัมป์ ก็ไม่ใช่คนใจดี เป็นนักธุรกิจถ้าเล่นตัวนานไป ระวังจะโดนบล็อกเบอร์แบบเงียบๆ แล้วส่งของแถมเป็นภาษีสินค้าชุดใหญ่ หรืออาจแทรกแซงด้านความมั่นคง ...*…

    ส่วนจีนเองก็ไม่ได้ออกตัวแรงแบบที่ใครๆ คิด พอข่าวลือเรื่องอาวุธโผล่มา จีนรีบโบกมือลั่น “ไม่ใช่ของใหม่ ไม่ได้หนุนให้ใครยิงใครนะจ๊ะ” สรุปแล้ว ไทยเราอาจจะอยู่ในโหมด “ชอบแต่ไม่แสดงออก” ทั้งสองฝั่งก็เป็นได้! ...*...

    ฟังดูเหมือนดราม่าซีรีส์ แต่นี่คือการเมืองจริงๆ โลกนี้ไม่ได้หมุนด้วยมิตรภาพหรืออุดมการณ์ มันหมุนด้วยผลประโยชน์ล้วนๆ! ที่สำคัญ ไทยต้องเร่งปิดเกมสู้รบ อย่าให้ยืดเยื้อ ดูตัวอย่างรัสเซียกับยูเครน ใครก็ประเมินว่ายูเครนจะต้านได้ไม่นาน สงครามจะจบเร็ว แต่นี่ผ่านมา 3 ปีแล้ว สถานการณ์พลิกผันตลอดเวลา ...*...

    ฉะนั้น อย่าคิดว่าโลกจะเชื่อสมเด็จฮุนเซนที่กลับกลอกแต่โลกพร้อมจะเข้าข้างกัมพูชาเพื่อหาผลประโยชน์จากทรัพยากรต่างหาก ฉะนั้น จึงเป็นคำตอบว่า ทำไม กัมพูชาจึงไม่เกรงกลัวที่จะรบกับไทย …*…

     1 – 2 ส.ค. นี้ เชิญร่วมเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 58 ปี การก่อตั้งอาเซียน และครบรอบ 10 ปี การก่อตั้งศูนย์ซี อาเซียน (C asean) ในงาน ASEAN Week 2025 จัดโดย ศูนย์ ซี อาเซียน (C asean) ภายใต้การสนับสนุนของ ไทยเบฟเวอเรจ  ภายในงานพบกับกิจกรรมที่เน้นย้ำการร่วมขับเคลื่อนภูมิภาคอาเซียนไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ...*...

    Game On by Coaching English เชิญน้องๆหนูๆ ร่วมงานมหกรรมตะลุยโลกภาษาอังกฤษ เพื่อสร้างเสริมทักษะด้านภาษาอังกฤษภายใต้แนวคิด เพราะภาษาคือโอกาส  ผ่านเกมส์ภาษาอังกฤษสุดมันส์และของรางวัลมากมาย  นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว Smart Learning แอปพลิเคชั่น ช่วยเรียน ช่วยสอน ภาษาอังกฤษสุดล้ำแบบเรียนได้ทุกที่ทุกเวลาไม่จำกัด รวมถึงหนังโฆษณาสุดประทับใจ ที่พร้อมให้ทุกคนได้รับรู้ถึงความสำคัญของภาษาอังกฤษในโลกปัจจุบัน ระหว่าง วันที่ 2 เวลา 10.00 – 20.00 น. และวันที่ 3 เวลา 10.00 – 18.00 น.  ที่ลานชั้น 1 ซีคอนบางแค สำหรับผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าร่วมงานฟรีได้ที่ https://forms.gle/CPEabxK6v8jSeetG6  ...*...

     ข่าวสังคมทั่วไป ประจำวันศุกร์ที่ 1 ส.ค. 68 เวลา  09.00 น.ภก.จตุพล เจริญกิจไพบูลย์ ผู้ช่วย ผอ.องค์การเภสัชกรรม เป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการโรงพยาบาลเอกชน ประจำปี 2568 จัดโดย องค์การเภสัชกรรม ที่ห้องพระพรหม โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ...*...

    09.30 น.ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี/รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นประธานเปิดการสัมมนารับฟังความคิดเห็นในการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. 2562 และกฎหมายลำดับรอง ครั้งที่ 5 จัดโดย สํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ที่ห้องพระวิษณุ โรงแรมอัศวิน แกรนด์ คอนเวนชั่น ...*...

    10.00 น. พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.แรงงาน เป็นประธานเปิดโครงการยกระดับอาสาสมัครแรงงานกรุงเทพมหานคร เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงแรงงาน จัดโดย สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ที่ห้องแกรนด์ เอบี โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

     

    ร่วมสร้างสุขภาวะ...นพ.สุนทร สุนทรชาติ รองปลัด กทม. เป็นประธานเปิดงานมหกรรมร่วมสร้างสุขภาวะและนวัตกรรมทางการแพทย์และสาธารณสุข สำนักอนามัย ปี 2568 จัดโดย สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โดยมี นพ.ขจิต ชูปัญญา อมาวศรี เปาอินทร์ นพ.เอกวุฒิ ตั้งตรงไพโรจน์ นพ.อภิชาติ รอดสม พญ.นภัสชล ฐานะสิทธิ์ ผศ.ดร.อุราภรณ์ ภูมิศานติพงศ์ เตชิต ชาวบางพรหม และ นุชรี รุ่งวิทยาธร ร่วมงาน ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

    กระตุ้นเศรษฐกิจ...แสนยากร อุ่นมีศรี รองปลัด กทม.เป็นประธานเปิดงานกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อส่งเสริมอาชีพ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ประชาชน ให้ผู้ประกอบการได้มีสถานที่แสดงสินค้า"ชิม ชม ช๊อป" ตั้งแต่วันที่ 25-27 ก. ค.68 โดยมี เครือมาศ ไพรวรรณ์ ผช.ผอ.เขตหนองแขมสำนักพัฒนาสังคม ผู้บริหารกลุ่มเขตกรุงธนใต้  และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงาน ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 2 เขตบางขุนเทียน เมื่อวันก่อน

    เพิ่มพื้นที่สีเขียว...กอบชัย คงทวี ผจก.ทั่วไป ซีพีแรม ร่วมกับ โยธิน ประสงค์ความดี รอง ผวจ.ลำพูน ผสานความร่วมมือไตรภาคีระหว่างภาครัฐ เอกชน และชาวบ้านในชุมชนลำพูน จัดโครงการ “CPRAM GREEN LIFE #ปลูกเพื่อโลกยั่งยืน” ปีที่ 12 ปลูกต้นไม้ยืนต้นกว่า 200 ต้น เพิ่มพื้นที่สีเขียวดูดซับคาร์บอนกว่า 2,000 ตารางเมตร สร้างสมดุลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ที่ตำบลท่าแม่ลอบ อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน เมื่อวันก่อน

    เพิ่มประสิทธิภาพ...พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ผบ.ตร. เป็นประธานเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานชุมชนสัมพันธ์และการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันอาชญากรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รุ่นที่ 3 โดยมี พล.ต.ต.ธรรมศักดิ์ ปิ่นทอง พล.ต.ต.กันตพัฒน์ ศรีอมรรัตน์ ร่วมงาน พร้อมกันนี้ อนัคพล อิงคะกุล รอง ปธ.กก.บห. มิราเคิล กรุ๊ป ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น

    ลงนาม...เครือมาศ ไพรวรรณ์ ผช.ผอ.เขตหนองแขม พร้อมผู้บริหารเขต ศูนย์สาธารณสุข 48 ร่วมลงนามโครงการตำบลยั่งยืนการแก้ไขปัญหายาเสพติด พร้อมมอบป้ายชุมชนสีขาวปลอดยาเสพติด โดยมี พ.ต.อ.สมหมาย โสภาเจริญ ผกก.สน.หนองค้างพลู จเร ศรีขัดเค้า รองประธาน กต.ตร.สน. บุญเสริม เงินงาม ประธานชุมชน และผู้เกี่ยวข้อง ร่วมงาน ที่ชุมชนแสงศิริ เขตหนองแขม

    ถวายพระพร...ผศ.ดร.ชลลดา มงคลวนิช นายกสมาคมนิยมไทย พร้อมกรรมการบริหารสมาคมฯร่วมบันทึกเทปถวายพระพรสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชชนนี พระพันปีหลวง ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ที่สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อวันก่อน

    ลงนาม...มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย สัก กอแสงเรือง และ วิชิต ชินวงศ์วรกุล ร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดย ภาสกร บุญญลักษม์ และ ชัยรัตน์ แก้วเพียงเพ็ญ ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผนึกกำลังทั้งทางด้านวิชาการ และการปฏิบัติการอันเป็นการบูรณาการการจัดการเพื่อเสริมสร้างศักยภาพขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครมูลนิธิฯ โดยมี ศิริกุล โอภาสวงศ์ ร่วมงาน ที่อาคาร 2 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย

    คว้ารางวัล 2 ปีซ้อน...วัลยา จิราธิวัฒน์ ผู้บริหาร เซ็นทรัลพัฒนา รับมอบรางวัล “บริษัทยอดเยี่ยมแห่งปี 2568” หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในงาน Money & Banking Awards 2025  โดยมี สันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ภาคนี วิริยะรังสฤษฎ์ ภริตา วิริยะรังสฤษฎ์ ชาติศิริ โสภณพนิช กฤษณ์ จันทโนทก ดร.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ และ ดร.อารักษ์ สุธีวงศ์ ร่วมงาน ที่โรงแรมไฮแอท รีเจนซี่

    เปิดตัวนวัตกรรม...ปรีชา ประเสริฐถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไอ-มอเตอร์ แมนูแฟคเจอริ่ง ร่วมกับ มิซุโนะ ทากาโยชิ ตัวแทน อาซาฮี เดนโซ่ ประเทศญี่ปุ่น และ นากายะมะ โทโมยูกิ ประธาน อาซาฮี เดนโซ่ อาร์แอนด์ดี เอเซีย จัดงานเปิดตัวนวัตกรรม “คันเร่งอัจฉริยะ (Smart Throttle)” ครั้งแรกในประเทศไทย ภายใต้แนวคิด “New Era of Electric Motorcycle Technology” เพื่อยกระดับประสบการณ์การขับขี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ที่ I-Motor EV Gallery บางพลี

  4. ใจดีสู้ “คดีร้อน”

    หลบเร้น หายตัวไปจากหน้าสื่อพักใหญ่  หลังจากที่ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาโลดแล่นเดินสายไปต่างจังหวัด หลังขึ้นเวทีโชว์วิชชั่น ทิ้งปมประเด็นเอาไว้

    แต่ดูเหมือนว่า แม้ ทักษิณ ออกโรงมาเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า เพื่อประคับประคองทั้ง “รัฐบาล” ที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ  และ “แสดงแทน” ในจังหวะที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯทางการ อยู่ในระหว่างหยุดทำหน้าที่ ด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ คดีคลิปเสียงสนทนากับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ทว่าสถานการณ์ทางการเมือง สำหรับรัฐบาลและนายกฯแพทองธาร ยังไม่สามารถตีตื้น ขึ้นมาได้

    ล่าสุด ยังปรากฏว่า ทักษิณ ยังต้องมาลุ้นกับ คดีร้อนๆ ที่จ่อคิว ด้วยกันถึง2คดี  โดยที่ทั้งสองคดี ล้วนมีผลชี้ชะตา ทั้งต่อตัวทักษิณ ไปจนถึงพรรเพื่อไทย ด้วยกันทั้งสิ้น !

    “คดีชั้น 14” มีความชัดเจนแล้วว่า ศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำวินิจฉัย ในวันที่ 9 ก.ย.68 นี้ เวลา 10.00 น. ซึ่งคดีดังกล่าวนี้ น่าจะมีผลกระทบหนักหนาต่อตัวทักษิณ อย่างมาก เพราะอย่าลืมว่า มติของแพทยสภาที่เคยชี้มาก่อนหน้านี้ว่า ทักษิณ ไม่เข้าข่ายป่วยวิกฤต อีกทั้งยังสั่งลงโทษ “แพทย์ 3ราย” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งตัวทักษิณ ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ ชั้น 14

    ทั้งนี้ หากศาลฯมีคำวินิจฉัยชี้ว่า เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ และหมอ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ที่เกี่ยวข้องมีความผิดจริง ย่อมหมายความว่า ที่ผ่านมาทักษิณ ยังรับโทษไม่เป็นไปตามคำสั่งศาลฯ จึงอาจต้องกลับไปรับโทษกันใหม่หรือไม่

    ดังนั้นคดีชั้น 14 จึงถูกจับตามาโดยว่านี่อาจเป็นทั้ง “จุดเปลี่ยน” และเดินไปสู่ “จุดตาย” สำหรับอดีตนายกฯทักษิณ เอง

    มากกว่าคดี ม.112 กรณีให้สัมภาษณ์สื่อเกาหลีที่ถูกร้องว่า พาดพิงสถาบัน หรือไม่ โดยคดีดังกล่าว “ศาลอาญา” มีกำหนดนัดฟังคำวินิจฉัย ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เพราะหากย้อนกลับไปฟังคำสัมภาษณ์ของทักษิณ เอง แสดงความเชื่อมั่นว่าตัวเองไม่มีความผิด และหากพ้นบ่วงคดีเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะเดินสายพบกับพี่น้องประชาชน อย่างแน่นอน

    อย่างไรก็ดี ความมั่นใจของทักษิณ ต่อคดี ม.112 ซึ่งคำวินิจฉัยของศาลจะมีความชัดเจน ก่อนคดีชั้น 14 นั้น อาจเป็นสัญญาณได้ทั้งบวกและลบ ทั้งต่อตัวเขาเอง ไปจนถึง รัฐบาล ในช็อตแรก ระยะสั้นๆ ก่อนที่จะไปเจอด่านที่สอง ที่คดีชั้น 14 ในเดือนก.ย.

  5. ข้อตกลงการหยุดยิง อดีต-ปัจจุบัน

    รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

    ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

    เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social ประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชา พร้อมกับประกาศตัวเองว่าเป็น "ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ" เหตุการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในการดำเนินนโยบายการต่างประเทศของสหรัฐฯ และยังเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นแรงกดดันเพื่อบังคับให้เกิดการหยุดยิงในยุคปัจจุบัน

    สิ่งที่น่าสนใจในกรณีไทยกัมพูชา คือ การที่ทรัมป์ใช้ภาษีนำเข้า 36% เป็นเครื่องมือกดดันโดยตรง โดยส่งสัญญาณชัดเจนว่า "ผมไม่ต้องการค้าขายกับใครที่กำลังฆ่าฟันกัน" การเชื่อมโยงระหว่างการหยุดยิงกับผลประโยชน์ทางการค้า (ภาษี) อย่างชัดเจนนี้ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหม่ในประวัติศาสตร์ แต่การนำมาใช้อย่างเปิดเผยและเป็นนโยบายหลักถือเป็นการพัฒนาที่น่าจับตามอง

    แนวคิดเรื่องการหยุดยิงมีมาหลายศตวรรษ แต่ข้อตกลงหยุดยิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกระหว่างประเทศสมัยใหม่ที่มีนัยสำคัญ ได้แก่ ข้อตกลงสงบศึกปี 1949 ระหว่างอิสราเอลกับประเทศเพื่อนบ้าน คือ อียิปต์ เลบานอน จอร์แดน และซีเรีย ข้อตกลงเหล่านี้จบสงครามอาหรับ-อิสราเอลปี 1948 และกำหนดเส้นแบ่งการหยุดยิงภายใต้การกำกับของสหประชาชาติ อีกตัวอย่างสำคัญคือ ข้อตกลงคาราจี ปี 1949 ระหว่างอินเดียและปากีสถาน ที่กำหนดเส้นหยุดยิงในแคว้นจัมมูและแคชเมียรหลังความขัดแย้งปี 1947 แต่ในประวัติศาสตร์ยุคก่อนหน้านี้ มีการหยุดยิงแบบไม่เป็นทางการที่น่าสนใจ เช่น การหยุดยิงที่เกิดขึ้นเองในวันคริสต์มาส 1914 ระหว่างทหารอังกฤษและเยอรมันบนแนวรบตะวันตกในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้ทำเป็นสนธิสัญญาอย่างเป็นทางการ

    ข้อตกลงหยุดยิงในอดีตจะเกิดขึ้นได้จากการเจรจาทางการทูตหรือการไกล่เกลี่ยจากองค์กรระหว่างประเทศ กรณีศึกษาที่สำคัญในประวัติศาสตร์ เช่น การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และสหประชาชาติกับยูโกสลาเวียระหว่างปี 1992-1995 เพื่อกดดันให้เซอร์เบียหยุดสนับสนุนสงครามในบอสเนีย หรือการคว่ำบาตรเพชรและไม้ของสหประชาชาติที่มีส่วนทำให้เกิดข้อตกลงหยุดยิงในเซียร์ราลีโอน (2000) และไลบีเรีย (2003) และกรณีของเฮติในปี 1994 ก็เป็นอีกตัวอย่างที่ชัดเจน เมื่อการคว่ำบาตรทางการค้าที่นำโดยสหรัฐฯ สร้างความเจ็บปวดทางเศรษฐกิจให้กับชนชั้นนำของเฮติ ทำให้การสนับสนุนทางทหารต่อรัฐบาลเผด็จการลดลง และนำไปสู่การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ สำหรับตัวอย่างล่าสุดก่อนหน้านี้ คือ กรณีอินเดีย-ปากีสถานในปี 2568 ที่ทรัมป์อ้างว่าได้ใช้การเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ เป็นแรงจูงใจให้ทั้งสองประเทศยอมหยุดยิง แม้ว่าฝ่ายอินเดียจะโต้แย้งเรื่องบทบาทของสหรัฐฯ ในเรื่องนี้

    สิ่งที่ทรัมป์ทำเพิ่มเติม คือ การใช้แรงจูงใจทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือหลัก โดยเฉพาะการลดภาษีเป็นรางวัลสำหรับการปฏิบัติตามข้อตกลง กรณีทรัมป์นับเป็นการพัฒนาจากการใช้มาตรการภาษี (เศรษฐกิจ) ลงโทษไปสู่การใช้ผลตอบแทนเป็นแรงจูงใจ ทั้งนี้ข้อตกลงหยุดยิงที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ ได้แก่ ความชัดเจนในเงื่อนไข การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย การติดตามและตรวจสอบโดยบุคคลที่สาม รวมถึงมาตรการสร้างความเชื่อมั่น

    แม้ว่าการใช้แรงกดดันทางเศรษฐกิจจะมีประสิทธิภาพในการหยุดยิงระยะสั้น แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองและสังคมที่ลึกซึ้งได้ นอกจากนี้ยังอาจสร้างความรู้สึกว่าถูกบีบบังคับ เนื่องจากไม่ได้มาจากความต้องการของทั้งสองฝ่ายโดยตรงซึ่งอาจทำให้การสร้างสันติภาพในระยะยาวซับซ้อนมากขึ้น ความสำเร็จของวิธีการแบบทรัมป์นี้ขึ้นอยู่กับการบังคับใช้อย่างสม่ำเสมอและการมีภัยคุกคามหรือรางวัลที่น่าเชื่อถือ ความต่อเนื่องของนโยบายจะทำให้ประสิทธิภาพของวิธีการนี้ดีขึ้น

    วิธีการของทรัมป์อาจเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ การเชื่อมโยงระหว่างสันติภาพกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจนอาจกลายเป็นเครื่องมือมาตรฐานในการทูต อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาแรงกดดันทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องประสานร่วมกันกับความพยายามทางการทูตที่กว้างขึ้นเพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืน

    การหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาภายใต้แรงกดดันจากทรัมป์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการทูตสมัยใหม่ การใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจเป็นแรงกดดันโดยตรงเพื่อบังคับให้เกิดการหยุดยิง แม้จะไม่ใช่วิธีการใหม่ แต่การนำมาใช้อย่างชัดเจนและเป็นนโยบายหลักนั้นแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่สำคัญในศาสตร์การทูต

    ความสำเร็จในระยะสั้นของวิธีการนี้อาจทำให้กลายเป็นต้นแบบสำหรับการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต แต่ประสิทธิภาพในระยะยาวยังคงต้องพิสูจน์ต่อไป การสร้างสันติภาพที่แท้จริงต้องอาศัยมากกว่าแค่แรงกดดันทางเศรษฐกิจ ต้องใช้ความพยายามทางการทูตอย่างครอบคลุมและการแก้ไขปัญหาระดับรากเหง้า สิ่งหนึ่งที่แน่นอน คือ ยุคของการหยุดยิงด้วยแรงกดดันทางเศรษฐกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว และจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการความขัดแย้งระหว่างประเทศในอนาคต

    สำหรับประชาชนไทย คงต้องติดตามผลของข้อตกลงหยุดยิงระหว่างไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด เพื่อจับตาว่าวิธีการแบบใหม่ของทรัมป์จะมีประสิทธิผลในระยะยาวมากน้อยเพียงใด และจะส่งผลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างไร การเฝ้าระวังและประเมินผลกระทบทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะยาวเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะช่วยให้ไทยพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงในโลกการทูตยุคใหม่ครับ